4X100 ‘Creative x Design’ Studio เบื้องหลังปกอัลบัมศิลปินดัง

คุยกับศิลปินมาเยอะแล้ว วันนี้ Songtopia ขอพาไปคุยกับคนทำปกศิลปินบ้าง! กว่าจะเป็น Visual สวยๆ ในปกซิงเกิล ปกอัลบั้ม ต้องผ่านวิธีคิด ผ่านการดีไซน์อะไรมาบ้าง ?

วันนี้ พี่ปาร์ค – ภาณุพงศ์ เปรมวรานนท์ และ พี่ตอง – ปรัชญา ศรีคูหา แห่ง 4X100 ‘Creative x Design’ Studio ที่เคยฝากงานดีไซน์สวยๆ บนปกศิลปินไว้ อย่าง 4EVE, UrboyTJ, โอ๊ต ปราโมทย์, LUSS, Txrbo ฯลฯ จะมาเล่าให้เราฟัง บอกเลยว่าโคตร inspired! 🔥

4×100 CREATIVE x DESIGN STUDIO

ตอง: มันมีโปรเจกต์ของศิลปิน The Voice Kids ชื่อว่า แน็ท ศิริพงษ์ รับมาจาก Universal Records ตอนนั้นเค้าให้เรามาทำ Art Direction ปกซิงเกิล พอเราได้โจทย์มา เราก็อยากให้พี่คามิน ที่เป็นช่างภาพถ่าย แต่ว่าในส่วนของ Graphic แต่ก่อนเราก็จะเป็นคนทำ Graphic นู่นนี่อะไรเอง พี่มินก็เลยรู้จักพี่ปาร์ค เฮ้ย กูมีเพื่อนจบมาจากซานฟราน แม่งเก่งดีไซน์มาก อยากลองเปล่า ผมบอก ของนอก ต้องลองหน่อย พี่ปาร์คก็จะเป็นทางฝั่ง Graphic ที่คอยดูพวกดีไซน์ปก อะไรแบบนี้ให้มันจบออกมาเป็น Finishing ปก ได้ปกนึง หลังจากนั้นก็ได้จอยโปรเจกต์กันหลายๆ โปรเจกต์ แล้วก็ยาวๆ กันมาเรื่อยๆ แล้วก็ตัดสินใจกันว่า งั้นมาร่วมทีมกันดีกว่า แล้วก็มาเปิด 4×100 กัน

ปาร์ค: คือพี่ตั้งใจจะเปิด Design Studio ตัวเองอยู่แล้ว เป็น Goal แรกเลย อยากเอาโครงสร้างตอนที่เรียนกับที่ทำงานที่นู่น มันมี Culture ที่มันน่าสนุก ถ้ามันสามารถ Apply ที่นี่ได้ พอดีมาเจอตองก่อน ก่อนที่พี่ตองจะเข้ามา พี่ตองเคยอยู่สนามหลวงยุค 7 ปีก่อน พี่ตองเค้าจะรู้จักคอนเนคชันเก่าๆ ส่วนพี่จะบ้าเรื่อง System โครงสร้าง วิธีการคิดงาน แบบใช้ System เข้ามาคลุมซะส่วนใหญ่ วิธีการ Deliver Message อะไรต่างๆ ก็เลยเหมือนจับมาชนกัน

ปาร์ค: เริ่มต้นเราเป็นทีมดีไซน์เนอะ เรา Set Up ขึ้นมาเป็น Design Studio ทำตั้งแต่งาน Branding Entertainment ทุกอย่างครับ จนถึงงาน Video แล้วด้วยมั้งตอนนี้ การทำงานมันค่อนข้างกว้างมาก แต่ว่าก็จะอยู่ในขอบเขต Zone ประมาณนี้แหละครับ ทุกวันนี้ถ้าคนเห็นเราเยอะ ก็น่าจะพวกแบบปกเพลงซะส่วนใหญ่ แล้วก็น่าจะเป็นงาน Branding บ้าง อะไรประมาณนี้ครับ

ปาร์ค: โดยเนเจอร์พี่กับตองไม่มีอะไรเหมือนกันเลย พี่เป็นเด็กฟังเพลง Hip-Hop Nu Metal ไปสายหนักๆ ไอ้นี่ก็จะแบบวัยรุ่น มีความเป็นเด็กอินดี้หน่อยๆ

ตอง: เฮ้ย ผมก็วัยรุ่นอยู่

ปาร์ค: ไม่ๆ แก่ชิบหาย จุดร่วมคือความ Challenging เหมือนกัน ทั้งสองคนทำงานโปรเจกต์ใดโปรเจกต์นึงนานๆ ไม่ได้ ขี้เบื่อแหละ ยิ่ง Industry ใหม่ๆ เรายิ่งได้เรียนรู้เยอะ

 

ทำไมต้อง 4×100

ตอง: อยากได้เวอร์ชันหล่อหรือเวอร์ชันตลก (ฮ่าๆๆ) คือตอนแรกที่คุยกัน พี่ปาร์คเค้าอยากตั้งชื่อว่า Force Studio เราลงกันแล้วล่ะว่า เฮ้ย แม่งมีพลังว่ะ

ปาร์ค: จริงๆ คำว่า Force อะ ถ้าหันไปเห็น จะรู้ว่าพี่ค่อนข้างคลั่ง Star Wars พอสมควร May The Force Be With You อะไรประมาณนี้

ตอง: เราเป็นเจไดแหละ แต่ว่าพอเหมือนตอน Sketch Logo กันมั้ง แล้วอยู่ดีๆ ก็แว๊บขึ้นมา เฮ้ย 4×100 ป้ะวะ

ปาร์ค: ตอนที่เริ่มกันมาจริงๆ จะมี Moab Studio จะมีเพื่อนสนิทพี่ที่อยู่ที่อเมริกาด้วยกันมา กับเพื่อนสนิทของตองที่เป็น Retoucher ก็เลยแบบ มีกัน 4 คน ก็ 4×100 ละกัน ทำงานกันให้เดือด อะไรประมาณนี้ครับ

ตอง: แต่ถ้าความหมายเท่ๆ 4×100 ที่คิดกันตอนนั้น คือเราไม่ได้อยากเป็นพวกฉายเดี่ยว เราทำงานกันเป็นทีม ฉะนั้น 4×100 มันคือการส่งไม้ผลัดต่อกันไปเรื่อยๆ กับเรา กับลูกค้า และกับทุกทุกคนที่เห็นงานเรา ถ้าสมมติเราส่งไม้ต่อให้มันครบลูปเมื่อไหร่เนี่ย เท่ากับว่าเราได้รับชัยชนะประมาณนึงละ หล่อมั้ย

ปาร์ค: หล่อว่ะ

ตอง: แต่ว่าสาเหตุที่เลือก 4×100 ไม่ใช่อะไร เราโยนหัวก้อยกัน โอเค 4×100 ก็ 4×100 (ฮ่าๆๆ)

 

INSPIRATION

ปาร์ค: ไม่รู้เด็กสมัยนี้จะรู้จัก บุญโทน คนหนุ่ม รึเปล่า ? ตอนเด็กๆ พี่ชอบวาดรูป มันเป็นปกแรกในชีวิตที่เราซื้อด้วยตัวเอง แล้วเราก็นั่งวาดตามรูปนั้นอยู่นานมากเลย อันนั้นน่าจะเป็นจุดแรกที่เริ่ม Inspire เรื่องเพลง เรื่องปก

ปาร์ค: หลังจากนั้นมันก็จะโตมากับเพลง Nu Metal Rock Hip-Hop ด้วยความที่พี่เป็นคนเก็บเทปเก็บซีดีตั้งแต่เด็ก เราก็มีความรู้สึกว่าแบบ อยากจะเห็นปกของตัวเอง ที่เราได้ร่วมงาน ได้ไปอยู่บนนั้น

ปาร์ค: เอาความฝันวัยเด็กเลยนะ ปกที่ชอบที่สุดในชีวิตตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น จำได้ว่าอยู่ที่ Tower Records เห็นแล้วซื้อเลยคือ Limp Bizkit พี่ชอบ Fred Durst มาก เค้าเรียกว่า คลั่งไคล้ ถ้าวันนึงได้ทำจริงๆ แล้วได้ถึงตรงนั้นจริงๆ อันนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ชอบที่สุด หมวกแก็ปแดง รองเท้า Superstar ปกแรกคือ Limp Bizkit Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water มันทำให้พี่เริ่มวาด Grafity ด้วย เป็นจุดเริ่มต้น แล้วชอบมาก

ปาร์ค: อีกปกหนึ่งคือ ปกของ ModernDog อันที่เป็นยืนเรียงกัน แดดส่อง เห็นครั้งแรก รู้สึกว่าอย่างนี้ก็ได้เหรอ มันสวยมากเลย รู้สึกความหวังอะไรบางอย่าง แล้วพอฟังเพลงแล้วภาพปกมันซิงค์กับเพลง เรารู้สึก Engage กับเนื้อหาทั้งหมดที่เค้าพยายามจะเล่า

ตอง: ของพี่ที่นึกออกเร็วๆ ก็คือ Bjork เค้าช่วยเปิดโลกทางเรื่องดนตรีให้เราตอนมัธยมมากเลย เฮ้ย อย่างนี้เค้าเรียกว่าเพลงด้วยเหรอ พอไปดู Visual นี่แม่ง ยิ่งเลยเถิดกว่าเพลงไปไกลเยอะเลย ยิ่งรู้สึกว่าเป็นจุดหมายประมาณหนึ่งว่า ถ้าทำอะไรสักอย่างนึงที่ได้ถึงขั้น Bjork ได้ก็ฟินแล้วแหละชีวิต

โปรเจกต์แรกของ 4×100

ตอง: ต้นปี 2019 ตอนนั้นน่าจะเป็นโปรเจกต์ใหญ่ เป็นโปรเจกต์ทั้งปีกับทาง Grammy เค้าจะมีผู้กำกับของ GDH 4 คน มาทำเพลงประกอบให้กับศิลปินทั้งหมด 12 เพลง และออกมาเป็นหนังสั้น 12 เรื่อง โปรเจกต์นี้มันก็เป็นโปรเจกต์ลากยาวที่ทำให้เราได้ทำงาน Entertainment แบบทั้งปีเต็มๆ

ปาร์ค: ถ้าเริ่มต้นจริงๆ น่าจะอันนี้แหละ เราต้องหาวิธีการ Organize นู่นนี่ เริ่มมา บรีฟมาเป็นอย่างนั้น มันคือเรื่องของการทำยังไงก็ได้ให้เพลงกับผู้กำกับมีจุดที่มันลิงก์กันมากที่สุด เราต้องตีความเพลง แล้วต้องตีความสตอรี่จากผู้กำกับอีกที ว่าเค้ามีมุมมองกับเรื่องตรงนั้นยังไง แต่ละเพลง เค้าก็จะมี Signature ของเค้า ซึ่งมันจะแบ่งเป็น 4 ตอนใหญ่ๆ อย่างพาร์ทช่วง 3 เพลงแรก เกี่ยวกับ Love Speech เนื้อเรื่องโทนดราม่า ทั้งตัวหนังและตัวเพลง แล้วก็จะมี Pop Comedy, Thriller และ Teenage

ปาร์ค: ถ้าเห็น ตัว KV มันยากมากเลย การที่เราจะหยิบเรื่องก้อนใหญ่ๆ 4 ก้อน ไหนจะมีเนื้อเรื่องเล็กๆ ของแต่ละเพลงอีก ก็เลยพยายามหาวิธีการเล่าเรื่องไปเลยว่า ถ้าวันหนึ่งศิลปินจะต้องไปเวิร์คกับผู้กำกับเพื่อที่จะทำให้เกิดภาพออกมา หลังฉากจริงๆ เลยลองวางโครงสร้างออกมาเป็นสตูดิโอกองถ่ายจริงๆ แต่ว่าเราหยิบศิลปินมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำจริงๆ เหมือนนำเสนอด้านหลังที่มันร่วมกัน ถ้าเห็นจาก Layout มันจะมีผู้กำกับยืนแอบอยู่ตามจุด ภูมิใจกับการที่เค้าได้ทำงานร่วมกันจริงๆ อะไรประมาณนั้นครับ

ปาร์ค: นอกนั้นก็จะแยกแต่ละเพลงแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการตีความเพลง ภาพกับเพลงควร Engage กัน ควรมีจุดร่วมในการเล่าเรื่อง และส่ง Message ไปพร้อมๆ กันมันถึงจะ Effective

ปาร์ค: ด้วยความที่โปรเจกต์มันใหญ่แหละ หลังจากนั้น ทางลูกค้าผู้น่ารักก็เริ่มรู้สึกว่าเราทำได้ ก็เลยให้โอกาสมาเรื่อยๆ

 

4EVE โปรเจกต์ที่ผูกพันเป็นพิเศษ

ปาร์ค: 4 EVE เนี่ย ส่วนตัวพี่รักเป็นพิเศษ น้องเค้าน่ารัก (แซวว) ต้องบอกก่อนว่า 4EVE ตอนนั้น ผู้กำกับ MV คือไอ้หลุยส์ Don’t Try This At Home มันก็ชวน เพลงแรกเลย คือ Oohlala มันเป็นเหมือน Undebut Album ซึ่งเราก็ใหม่กับ Girl Group มากๆ เนอะ

ตอง: โปรเจกต์นี้น่าจะเป็นโปรเจกต์ที่สนุกกับการทดลอง แล้วก็แอบกลัวไปในตัวด้วย พอเรายิ่งไป Research งาน 4EVE เนี่ย ยิ่งเจอแต่เรื่องกระแสสังคม Community ค่อนข้างน่ากลัวมาก จะเหมือนเกาหลีหรือเปล่า จะไปขัดกับแฟนคลับคนนู้นคนนี้เต็มไปหมดเลย มันยากมากจริงๆ มันต้องรอบคอบมากๆ กับการทำ Girl Group วงนึงขึ้นมา

ปาร์ค: ความยากกว่านั้นอีกคือ เราไม่ได้ทำแค่ KV เราต้องทำ Art Direction ของ MV ด้วย แล้วก็ประกอบกับความเหี้ยของไอ้หลุยส์อีก ที่มึงไม่ถ่ายปกติ แต่เสือกไปเอา Virtual อะไรสักอย่าง ที่จะต้อง Map ภาพ Background กับตัวฉากด้านหน้า เป็นจุดเริ่มต้นที่มันใหม่มากเลย Challenge มากๆ ในเวลาที่จำกัดมากๆ 80% คือการ Research ทั้งหมดเลย พอมันเป็นโครงสร้างงานดีไซน์​ส่วนใหญ่มันจะ Base On ข้อมูลก่อน หลักๆ Inspire ที่ได้มา มันจะเป็นการ Research ก่อน มันไม่ได้มาถึงแล้วเราไปเห็นอันนั้นแล้วเรารู้สึกว่า ‘อันนั้นมันสวยจังเลย’ แล้วเราอยากหยิบมาใส่ สุดท้ายมันคือเรื่องของการทำความเข้าใจ ตีความ อย่างงาน Entertainment เราก็ต้องนั่งฟังก่อน ต้องเก็บข้อมูลก่อนว่าเค้าต้องการจะสื่อสารอะไร แล้วการสื่อสารตรงนั้น Branding ของเค้าเป็นยังไง มีของอะไรที่เค้าเคยทำก่อนหน้านี้บ้าง ไปลอง Research เรื่องอื่นๆ ที่มันมีความเกี่ยวโยงนู่นนั่นนี่ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยหา Visual เติมเข้ามา

ปาร์ค: โปรเจกต์นี้สนุกตรงที่เราได้วางโครงสร้างจนถึงตัวอัลบั้ม โจทย์คือทำยังไงให้คนจำน้องได้ อันนี้แม่งโคตรมันส์ เช่น การใส่ Symbolic ลูกตา เพื่อให้คนจำได้ เปิดมาเห็นการตีความเพลง รวมถึงการไปเอาเรื่องในอดีต ก็คือก่อนหน้านั้น 4EVE เค้าจะเป็นรายการก่อนที่จะแข่งกันเพื่อหาไอดอล หาวิธีการยังไงที่จะสามารถ Apply เข้าไปในเนื้อหาต่างๆ หรือวิธีการใดๆ ได้บ้าง ทำให้น้องมี Character ชัดเจนมากๆ แล้วต้องพยายามวาง Set Up ฉาก หรือวิธีการนำเสนอน้องแต่ละคนให้แตกต่างให้มากที่สุด

ตอง: โจทย์ครั้งที่ 2 คือ First Album สร้าง Community 

ตอง: ส่วนโจทย์อันที่ 3 ก็คือ Trick or Treat โจทย์มันคือ อยากเห็นมุมมองใหม่ๆ ของน้องๆ 4EVE บ้าง เป็นรสชาติอีกรสชาติหนึ่งที่เราจะนำเสนอ 4EVE ในรูปแบบพ่วงไปกับ Event ที่ชื่อว่า Halloween โจทย์ของทางค่ายคือ เค้าอยากโทนดาวน์น้องให้มีความ Friendly มีความจับต้องง่ายขึ้น รูปแบบการทำงานของอัลบั้มที่ 3 มันเลยไปเน้นเรื่องการทำให้น้องดูน่าเข้าหามากขึ้น สนุก ตลก หวาน ซ่า ได้เห็นมุมที่มันดูเท่ดาร์กๆ แต่ยังสามารถจับต้องได้มากขึ้น

ปาร์ค: โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ที่ได้ Involve All Process ได้เห็นการเติบโตของกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่ง ที่มีความพยายามสูงๆ รวมๆ แล้วเป็นโปรเจกต์ที่ภูมิใจ เพราะได้ทำหลายๆ พาร์ท ค่อนข้างผูกพันกับโปรเจกต์นี้เป็นพิเศษ

URBOYTJ

Album : Selfmade

ตอง: URBOYTJ เริ่มตั้งแต่ Selfmade เลยเนอะ

ปาร์ค: พอมันเป็นงานอัลบั้ม พวกพี่จะได้ทำ Documentary เกี่ยวกับคนๆ หนึ่ง แล้วมันจะเข้าไป Involve กับเค้าเยอะ เข้าไปเสือกกับชีวิตของเค้าเยอะ ไปนั่งตามดูว่ามีข่าวฉาวอะไรบ้าง

ตอง: ได้โรคจิตเต็ม 10 เลยคำพูดนี้

ปาร์ค: คือมันมีหลาย Layer มากเลยการทำอัลบั้ม มาจากตัวตนเค้า Message ที่เค้าอยากสื่อสาร ภาพรวมของอัลบั้ม รวมไปถึงสิ่งที่เรา Research มา ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง มานั่งคุยกัน จนกว่ามันจะ Solid เป็นก้อนแข็งๆ ที่เราจะนำเสนอได้ 

ปาร์ค: ตอนแรกมันเกิดจากเราไปนั่งตีความเพลงก่อน เพราะว่าตอนแรกเค้ายังไม่มีชื่ออัลบั้มเลย เราพยายามจะหาจุดร่วมอะไรบางอย่าง ว่า URBOYTJ พยายามจะเล่าเรื่องอะไร คือเค้าน่าจะเล่าสิ่งที่เค้าเผชิญมาในชีวิตแหละ ซึ่งทุกครั้งที่ไปเจอมันจะมีมุมใหม่เสมอ เราเริ่มมีความรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้คุยเรื่องความรักตลอด แต่ความรักไม่เคยสมหวังเลยอะ เพลงทุกเพลงเค้าคือจิ๊กโก๋อกหักหมดเลย ทั้งๆ ที่ภาพลักษณ์ของเค้า Bad boy แข็งแกร่ง คือมันเป็นทรงแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น

ปาร์ค: เคยนั่งคุยกับ URBOYTJ ว่าแบบ อยากทำให้ใครฟัง จริงๆ แล้วก็อยากทำให้แฟนคลับฟัง เค้าแค่อยากจะ Open ตัวตนให้คนได้เห็นมากยิ่งขึ้น โจทย์มันเลยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากการ Develop ร่วม จากจิ๋กโก๋อกหัก มันเลยถูกตีแผ่ไปเรื่อยๆ เฮ้ย เริ่มรู้แล้ว จริงๆ เค้ามีความไม่มั่นใจในตัวเองนิดนึง เริ่มเก็บเป็นจุดที่ 2 3 4 จนเราเริ่มมาสรุปกันได้ ว่าคอนเซ็ปต์คือ ข้างนอกดูหวาน แต่ข้างในดูขม

ตอง: คือเราไปได้ Keyword มา เค้าก็เล่าว่าเค้าทำเพลงยังไง ชีวิตเค้าเป็นยังไง เราไปสะดุดคำว่า ไม่ว่าเราจะมีเรื่องที่เจ็บปวดหรือเรื่องดาร์กๆ เวลาเราทำเพลงปล่อยออกไปให้คนฟัง มันต้องถูกเคลือบด้วยความหวานทุกครั้ง เพราะว่าคนฟังเค้าอยากฟังแต่ของหวานๆ กัน อยากฟังแต่เรื่องดีๆ ได้ Keyword นี้ เราก็เลยหยิบมาใช้

ตอง: ที่เราหยิบ Symbolic ตัว Candy มา เพราะว่า พอเค้าบอกว่าเค้าทำเพลงเคลือบด้วยความหวาน งานดีไซน์ของเรา เราก็อยากดึงวิธีการทำงานของ URBOYTJ มาใช้กับตัวปกเหมือนกัน ฉะนั้นเราก็จะเคลือบสิ่งที่มันดูอันตราย ถูกเคลือบด้วยสีสัน ความหวาน

ปาร์ค: Symbolic หลักมันถึงเป็นตัว Candy ฉีกยิ้ม แต่ตาร้องไห้

ปาร์ค: ของพี่โอ๊ตเป็นเคสประหลาดเว้ย พี่โอ๊ตเป็นคนเข้าใจตัวเองสูง ตอนที่เดินเข้าไปรับบรีฟอะ เค้าคิดมาหมดแล้ว จนออกมาเป็นภาพที่เค้าคิดในหัวด้วยซ้ำ เราเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่เค้าอยากจะเล่าจริงๆ มันคือกึ่งความเป็นตัวตนของเค้าแหละ แล้วในทุกเพลงมี Meaning ที่ชัดเจน เค้าตีความ Meaning ทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว รวมถึงคิดไปแล้วว่า จริงๆ เค้ากำลังอยากเล่าเรื่องอะไร 

ตอง: ซึ่งเอาจริงๆ โลกที่เค้าบรีฟมาก็ค่อนข้างชัดอยู่พอสมควรแล้ว เราแค่เอาข้อมูลที่เราคิดว่าพี่โอ๊ตน่าจะตกหล่นคอยมาเสริมให้เค้าเฉยๆ ทำให้โลกนี้มันกลมขึ้นมา

ปาร์ค: แล้วพี่เค้าชัดจนถึงเลเวลว่าแบบอันนี้กูต้องการจะเล่าอย่างนี้ สิ่งที่พี่ต้องทำอย่างเดียวคือ หยิบ 10 เพลงมาวางแล้ว Match ให้ได้ว่าเค้าจะพูดเรื่องอะไร มันเป็น Journey ของเค้าอะ มันเป็นการเดินทางของเค้า

ตอง: คือเค้าส่งไม้ต่อมาให้เราครึ่งทางแล้วล่ะ

ปาร์ค: ใช่ มันคือการเล่าช่วงชีวิตแต่ละช่วงของเค้า คือพี่โอ๊ต ภาพที่เราเห็น ตลก แข็งแรง ดูบ้าบอมากเลย แต่โลกเบื้องหลังจริงๆ แล้วอะ พี่โอ๊ตกับแม่ก็จะคุยค่อนข้างสุภาพ วิธีการที่เค้าใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน บางทีมันไม่เหมือนกัน บางทีเราแอบเห็นเหมือนมีความรู้สึกว่า เค้าจะคิดอะไรข้างในรึเปล่า

ปาร์ค: ไอ้เรื่องตรงนี้แหละ ทำยังไงที่จะเล่าแผ่ออกมา ตัวปกกับตัวข้างใน คอนเซ็ปต์มันเลยกลายเป็น โลกข้างนอก เป็นต้นไม้ต้นใหญ่ ที่มันห่อหุ้มคนให้มันดูอบอุ่น เราจะรู้สึกว่าพี่โอ๊ตเป็นคนอบอุ่นมาก แต่ว่าเราเข้าไปเห็นมุมมองอื่นๆ ของเค้าบ้างมั้ย คือเราเหมือนพาทัวร์ Wonderland ที่อยู่ข้างในต้นไม้ ของคนที่ชื่อโอ๊ตนี่แหละ บวกกับการที่พี่โอ๊ตเค้าเป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะอยู่แล้ว อยากทำให้มันดูเหมือนเป็นงานศิลปะอะไรสักอย่างที่ทำให้คนมีการตีความกับเพลงด้วย อะไรแบบนี้

ตอง: ฉะนั้นไอ้ตัว Keyword ที่พี่บอกว่า เค้าเป็นพูดจาแล้วมีอะไรให้มันต้องตีความได้ 2 แบบ อันนี้ก็เป็นอีก 1 Keyword เหมือนกัน ในการ Create Visual ของตัวพี่โอ๊ตด้วย มันเลยออกมาเป็น Set Up โลกที่ Surreal มีความเป็นเปลือกไม้ที่ดูสงบ ตัวเค้ามีความถ่อมตัวพอสมควร Theme ที่เลือกมา มันจะมีความคล้ายๆ เมืองจำลอง ที่เราจะเอาพวกหุ่นจิ๋วๆ มาเล่นคู่กับ Props ที่ดูผิดเสกลหน่อย Setting ก็เลยอยากให้มันดูค่อนข้างกลมเข้าไว้

ตอง: สุขสันต์วันเจ็บ พอมันพูดถึงเรื่องการ Celebrate การเป่าเค้ก การจุดเทียน Celebrate ด้วยตัวเอง แต่พอเป็น สุขสันต์วันเจ็บ คนๆ นี้แม่งมาจุดเทียนเพื่อ Celebrate กับความเศร้าของตัวเอง แสดงว่าก่อนหน้านี้อาจจะเคยจุดเทียนกับคนที่เค้าเคยอยู่ด้วย ภาพมันก็เลยตีความออกมา บวกกับ Symbolic ของความเป็นหน้าคน เห็นเป็นเทียนที่มันย้อยอยู่ ที่เคยถูกจุดไปแล้ว เป็นน้ำตาเทียนร้องไห้ออกมา ส่วนอีกด้านนึงก็คือ กำลังจะจุดอีกอันนึง 

ปาร์ค: แป้ก ตอนที่ได้ยินคำว่าแป้กตอนแรกอะ มันคือ ไอ้เหี้ย หันไปอีกที โดนคาบไปแดกแล้ว แต่เราก็ไม่อยากใช้ Symbolic เป็นหมา เพราะเรา Set Up โลกของพี่โอ๊ต เป็นโลกในต้นไม้ ฉะนั้นไอ้สิ่งที่จะมาคาบไปแดกมันคือนกนี่แหละ

ตอง: จริงๆ มันคือคนที่พยายามจะปลูกความรักขึ้นมา ถ้าดู Background ก็คือที่ที่มันแห้งแล้ง ทะเลทราย กูปลูกมา ต้นรักของกูเนี่ย สุดท้าย โดนแดกเฉย

ปาร์ค/ตอง: เพลง สติ เป็นภาพท้ายสุดเลยที่ได้ เพลงเพิ่งเสร็จก่อนจะถ่าย 2-3 วันมั้ง อย่างอันนี้มันจะเป็นเรื่องมู้ดอารมณ์ เหมือนคนที่กำลังจะเกิดความชิบหาย แต่ว่า กูยังแกล้งทำเป็นฟอร์มว่ากูยังโอเคอยู่นะ ออกมาเป็นภาพ เรือกำลังจะล่ม ไฟกำลังจะไหม้ แต่พยายามจะดึงสติตัวเอง ภาพรวมมันเลยเหมือนคนที่โพสต์ทุกอย่างดูแข็งแรงมากๆ แต่ด้วยสีหน้า ท่าทาง มันมีความเก้ๆ กังๆ อยู่ ว่ากูควรจะยืนท่านี้ต่อไปเพื่อความเท่ของกูอยู่บนเรือลำนี้ แต่มันกำลังจะจมนะ หรือกูควรจะต้องทำอะไรสักทีวะ กูยังทำตัวไม่ถูก อะไรประมาณนี้

ตอง: เพลง ความรักไม่มีอยู่จริง ถูกเล่าออกมาเป็นห้องที่ว่างเปล่า อย่างที่บอก พอ Theme เป็นโลกต้นไม้ มันก็จะมีของที่เป็นการปลูกต้นรัก มันก็ยังล้อกับเรื่องนี้อยู่ ถูกเล่าในห้องว่างๆ นี่แหละ แต่ข้างนอกเป็นฟ้าผ่า ภาพความทรงจำเก่าๆ Flashback เข้ามา ติดอยู่ที่ผนัง ซึ่งอันนี้เป็นไอเดียพี่โอ๊ต

ปาร์ค: อย่างในนั้น ถ้าสังเกตจริงๆ จะมีนกเกาะอยู่ตัวนึง ซึ่งอันนี้จะเป็นไอเดียพี่โอ๊ตเลย เพราะพี่โอ๊ตอยากให้เกียรติคนที่มาร่วม Featuring ด้วย ซึ่งเราก็เลยแบบ เฮ้ย น่าสนใจ

ปาร์ค: อย่างภาพนี้จริงๆ ตอนที่คิดขึ้นมา มันเกิดมาจากต้นไม้ต้นนึงที่เรามีความรู้สึกว่ามันโดนตัดไปแล้ว แต่เงามันยังดี ต้นมันยังอยู่ เพราะว่าพวกพี่ก็ไปนั่งสัมภาษณ์พี่โอ๊ตนี่แหละ แล้วตอนที่พี่โอ๊ตเล่าเรื่องเพลงนี้ให้ฟังอะ พี่เคยหันไปถามพี่โอ๊ตเล่นๆ ว่า ‘ความรักสำหรับพี่มันยังมีอยู่จริงเปล่า’ เค้าหันมายิ้ม จำได้มันเป็นโมเมนต์น่ารัก ‘กูยังเชื่ออยู่’ แค่นั้นเลย ต้นเรื่องมันมาจากเรื่องนี้เลย สารตั้งต้นมันน่าจะมาจากแค่ต้นไม้ต้นนึงที่เหลือแต่ตอ แต่มันมีเงาพาดอยู่ ยังเป็นรูปหัวใจอยู่ อันนี้คือสารตั้งต้นของมัน

ปาร์ค: ไอเดียทั้งหมดพวกนี้ จริงๆ มันคือสารตั้งต้นที่มันเกิด Back & Force เราลองโยนไอเดียไป พี่โอ๊ตโยนไอเดียกลับมา จริงๆ พี่โอ๊ต เป็นเคสที่เราสนุกมากนะ คือเรารู้อยู่แล้วว่าพี่โอ๊ตเป็นคนทะลึ่งตึงตัง เราสามารถเล่นไปเกินเบอร์ที่ อย่างพวกเราเป็นคนทำงานภาพ ในบางทีก็อยากทำอะไรที่เล่าเรื่องให้ไปถึงจริงๆ แต่พี่โอ๊ตเป็นคนที่ยอมเรา แม่งสนุกอะ

 

โปรเจกต์ที่อยากลองทำ

ปาร์ค/ตอง: Music Festival

ปาร์ค: ความฝันตั้งแต่ตอนเรียนที่อเมริกา คลั่ง Music Festival มาก เคยฝันไว้ว่าวันหนึ่งอยากทำ อยากเข้าไปจอยอยู่ในโปรเจกต์นี้ เพราะ Based ที่ทำ Entertainment มา จริงๆ เราชอบฟังเพลงแหละ แต่ถ้าถามว่าอยากทำจริงๆ อะ Music Festival เลย

ตอง: ชอบ Music Festival เหมือนกัน เพราะเวลาเราไปเที่ยวตาม Music Festival ที่ต่างๆ มันเหมือนเค้าได้ Set Up สวนสนุกหรือโลกจำลองอะไรสักอย่างขึ้นมา เหมือนเราได้ไปช่วยสร้างโลกของอีเวนท์ๆ นั้น เหมือนได้หลุดเข้าไปอีกโลกนึงจริงๆ เป็น Zone ที่รู้สึกว่า อยากทำ Music Festival มาก

 

ฝากถึงคนที่อยากทำงานสายนี้

ตอง: โอ้โห อย่ามาเลย

ปาร์ค: หนีไป!!! ฮ่าๆๆ หยอกๆๆ

ตอง: เอาจริง ถ้าสมมติเราชัดเจนว่าเราชอบอะไร อยากแสดงออกยังไง แล้วก็ตีเป้าหมายของตัวเองให้มันชัดเจน ก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ชอบ แล้วยืนระยะให้มันยาวๆ เพราะตอนนี้เอาจริงๆ คนมันสามารถทำอะไรได้เยอะแยะไปหมด แข่งกันไปหมด แต่ว่าคนที่ชัดเจนกับตัวเอง แล้วยืนระยะได้ยาว คนนั้นคือคนที่น่าจะอยู่รอด

ปาร์ค/ตอง: ก็ฝาก 4×100 Studio ไว้ในหัวจิตหัวใจของทุกท่านด้วยนะครับ ติดตามได้ทาง Facebook Instagram และ Website 4×100 Studio พวกเราก็ทำงาน Design เป็นหลัก Based ความคิดเรื่อง Design เอาไป Apply กับ Media ต่างๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *